ป้ายกำกับ: สังคมทั่วไป

ทำอย่างไรเมื่อต้องอยู่บ้านติดกันกับคนที่ไม่ค่อยชอบเลี้ยงสัตว์

ทำอย่างไรเมื่อต้องอยู่บ้านติดกันกับคนที่ไม่ค่อยชอบเลี้ยงสัตว์

          เมื่อเราต้องอยู่ด้วยกันเป็นหมู่บ้านปัญหาที่เรามักจะพบหินปรอทและสร้างปัญหาระหว่างเพื่อนบ้านด้วยกันนั่นก็คือเมื่อบ้านอีกหลังหนึ่งต้องมีการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงแต่บ้านอีกหลังหนึ่งกลับไม่ชอบสัตว์เลี้ยงนั่นเองหากว่าเราเป็นบ้านที่ไม่ชอบสัตว์ดังนั้นเรามักจะรู้สึกว่าการที่สัตว์เห่าส่งเสียงดังหรือร้องส่งเสียงดังนั้นเป็นสิ่งที่น่ารำคาญ

สำหรับเราในขณะที่คนที่รักสัตว์เขาก็จะไม่รู้สึกอะไรเลยแต่การที่อยู่ร่วมกันระหว่างคนในหมู่บ้านโดยเฉพาะคนในซอยเดียวกันบ้านติดกันนั้นการมีมารยาทเป็นสิ่งสำคัญเป็นอย่างมากดังนั้นหากคุณต้องเลี้ยงสัตว์ไม่ว่าจะแมวหรือหมาก็ตามเพื่อการอยู่ร่วมกันกับข้างบ้านอย่างสันติสุขควรจะต้องมีการควบคุมดูแลสัตว์เลี้ยงของคุณไม่ให้สัตว์เลี้ยงของคนนั้นไปรบกวนเพื่อนบ้านแน่นอนว่าคุณไม่สามารถห้ามปากหมาหรือปากแมวไม่เห่าไม่ได้ร้องได้แต่คุณสามารถแก้ไขในเรื่องของกลิ่นของสัตว์เลี้ยงของคุณได้เช่นเดียวกัน

สำหรับคนที่เลี้ยงหมาหรือเลี้ยงแมวไว้ภายในบริเวณบ้านนั้นมักจะมีกลิ่นสาบของสัตว์นี้ดังนั้นการที่จะอยู่ร่วมกับเพื่อนบ้านอย่างสันติสุขได้ก็คือคุณจะต้องทำความสะอาดบ้านของคุณไม่ให้มีกลิ่นเหม็นสาบพวกนั้นแนะนำว่าคุณคิดว่ากลิ่นมันก็คงอยู่แค่เฉพาะในบ้านของคุณแต่เมื่อมีลมโชยมาจากฝั่งทางบ้านของคุณมาเมื่อไหร่ปิดมันก็จะมาถึงเพื่อนบ้านทันทีและนี่คืออีกหนึ่งปัญหาที่จะทำให้คุณและเพื่อนบ้านทะเลาะกันดังนั้นสิ่งไหนที่คุณคิดว่าคุณสามารถที่จะดูแลได้

เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาระหว่างเพื่อนบ้านเพื่อนๆที่จะรีบทำนั่นก็คือการกำจัดกลิ่นเหม็นสาบไม่ให้ไปรบกวนเพื่อนบ้านรวมถึงเวลาที่หมาและแมวของคุณนั้นอุจจาระหรือฉี่คุณจะต้องเป็นคนที่มีความรับผิดชอบต่อเพื่อนบ้านด้วยการเก็บมูลของสัตว์เลี้ยงของคุณอย่าปล่อยให้สัตว์เลี้ยงของคุณนั้นมาอึหรือฉี่หน้าบ้านของเพื่อนบ้าน 

แล้วมันจะยิ่งสร้างความร้าวฉานให้กับคุณและเพื่อนบ้านนั้นเองจงเข้าใจคำว่าสัตว์ของคุณนั้นไม่ได้เป็นที่รักหรือที่โปรดปรานของใครทุกคนคุณอาจจะเห็นความน่ารักของสัตว์ของคุณเพื่อนบ้านที่ไม่ได้ชอบสัตว์เลยเขาจะไม่ได้เห็นความน่ารักของสัตว์ของคุณด้วยเช่นเดียวกันดังนั้นหลักการอยู่ร่วมกันกับเพื่อนบ้านภายใต้การเลี้ยงสัตว์นั้น

คุณควรดูแลสัตว์เลี้ยงของคุณให้อยู่ภายในบริเวณบ้านของคุณเท่านั้นอย่าปล่อยให้มันไปทำลายข้าวของของเพื่อนบ้านและอย่าให้กลิ่นของสัตว์เลี้ยงของคุณส่งไปรบกวนเพื่อนบ้านเพียงเท่านี้คุณก็จะอยู่ร่วมกับเพื่อนบ้านในหมู่บ้านของคุณได้อย่างสันติ

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  เว็บพนัน

การพูดแซวเพื่อนโดยไม่คิดแต่คำพูดของเราอาจจะรุนแรงสำหรับเพื่อนก็ได้

การพูดแซวเพื่อนโดยไม่คิดแต่คำพูดของเราอาจจะรุนแรงสำหรับเพื่อนก็ได้

           เจอว่าหลายคนคงเคยเจอกรณีที่มีความสนิทสนมกันแล้วก็มีการแซวเล่นกันซึ่งบางครั้งคำพูดที่เรามีการแซวเล่นกับเพื่อนนั้นเราอาจจะไม่ได้ตั้งใจหรือมีเจตนาพูดอย่างนั้นจริงๆแต่เป็นการแซวเล่นกันเพราะคิดว่าเราและเพื่อนนั้นสนิทสนมกันมากพอและจะไม่โกรธกันเป็นการคุยกันเพื่อให้เกิดความสนุกสนานเท่านั้นแต่บางครั้งเราอาจจะลืมนึกถึงจิตใจของเพื่อนว่าคำพูดที่เราแซวเพื่อนโดยที่เราไม่ได้คิดอะไรนั้นเพื่อนของเราอาจจะคิดก็ได้ซึ่งเรื่องแบบนี้มีกรณีศึกษาและมีตัวอย่างมาหลายครั้งแล้วเราสามารถเห็นได้จากข่าวสารทั่วๆไปที่บางครั้งเพื่อนที่นั่งกินเหล้าด้วยกันแล้ว

เกิดมีการพูดคุยแซวกันเล่นภายในวงเหล้าแต่อยู่ๆเพื่อนอีกคนหนึ่งกลับรู้สึกไม่พอใจกับคำพูดนั้นแล้วเกิดการทะเลาะวิวาทกันขึ้นซึ่งถ้าหากไม่รุนแรงมากนักก็อาจจะแค่เพียงก็ปล่อยกันแล้วก็เลิกลากันไปแต่ถ้าเกิดว่าหัวข้อที่มีการแซวกันนั้นอาจจะมีความรุนแรงมากดังนั้นแทนที่จะเป็นแค่เรื่องของการชกต่อยกันเราอาจจะได้เห็นการฆ่ากันตายคาวงเหล้าก็เป็นได้ได้ดังเช่นที่กำลังเห็นเป็นข่าวโด่งดังใหญ่โตอยู่ในขณะนี้

ก็กรณีที่ดารามีการแซวกันในอินสตาแกรมซึ่งจะเป็นหมอก้องที่เป็นเพื่อนกับเบลล่าและมีการแซวเบลล่าเกี่ยวกับรูปที่เบลล่ายืนถ่ายคู่กับควายหลายคนรู้ว่าหมอก้องเป็นเพื่อนกับเบลล่าและเร็วกว่านั้นอาจจะไม่ได้คิดอะไรแต่ในขณะเดียวกันในมุมมองของตัวเบลล่าเองการที่เปรียบผู้หญิงว่าเป็นควายก็ไม่ใช่สิ่งที่สมควรที่จะนำมาแซวกันนะถึงแม้จะมีความสนิทสนมกันมากเท่าไหร่แต่ก็ควรจะมีความเกรงใจหรือมีเส้นขีดแบ่งกันของความเกรงใจกันด้วยซึ่งเรื่องแซวกันระหว่างหมอก้องกับเบลล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นเรื่องของการแซวกันเล่นต่อไปอีก

เมื่อแฟนคลับของน้องเบลล่าเกิดความไม่พอใจกับข้อความที่หมอก้องใช้พูดกับน้องเบลล่าด้วยคำแซวที่รุนแรงเกินไปที่เปรียบน้องเบลล่าเป็นควายทางแฟนคลับของเบลล่าจึงได้มีการขุดคุ้ยการพูดของหมอก้องกับเพื่อนดาราคนอื่นๆซึ่งจะเห็นได้ว่าหมอก้องมักจะใช้คำพูดที่สนิทสนมมากเกินไปอย่างเช่นที่ไปแซวกับใหม่ที่ถ่ายรูปคู่กันในวัดว่าจะไปทำการจองโลงหรือยังมีแซวคนอื่นๆอีกมากมายที่คำพูดแต่ละคำนั้นเหมือนจะเป็นการแซวของเพื่อนที่หยอกล้อกันและหมอก้องเองก็ออกมายืนยันว่าคำ

พูดเรานั้นเป็นแค่คำพูดที่เพื่อนหยอกกับเพื่อนแต่หลายๆคนมองว่าบางครั้งคำพูดที่แม้เพื่อนจะคุยกับเพื่อนก็ควรจะรู้จักกาละเทศะและรู้ว่าคำแต่ละคำนั้นมีความรุนแรงมากแค่ไหนซึ่งเรื่องนี้สามารถนำมาเป็นอุทาหรณ์ของประชาชนทั่วไปได้เช่นเดียวกันไม่ใช่เฉพาะดาราเท่านั้นเราไม่ควรใช้คำพูดที่รุนแรงในการแซวเพื่อนเพราะบางครั้งเราไม่รู้หรอกว่าเพื่อนเรารู้สึกยังไงกับคำพูดของเราซึ่งคำพูดของเราอาจจะไปทำลายมิตรภาพดีๆระหว่างเรากับเพื่อนก็เป็นได้

 

 

สนับสนุนโดย  bk8 pantip

การตอนกิ่งไผ่กิมซุง

การตอนกิ่งไผ่กิมซุง

สำหรับสูตรทำตุ้มที่เอาไว้ใช้สำหรับการทำตอนกิ่ง

  • กะปิ ครึ่งช้อนโต๊ะ
  • ขุยมะพร้าว 1กำมือ
  • น้ำเปล่า  ครึ่งแก้ว
  • ถุงพลาสติก 1ถุง
  • เชือกฟาง2เส้น

สำหรับกะปินั้นมันจะมีสารที่จะเข้ามาช่วยเร่งรากเพราะว่ามันจะมีสารไคโตซานอยู่แล้ว ซึ่งกะปิของเรานั้นจะใช้ประมาณครึ่งช้อนโต๊ะจากนั้นก็นำเอาน้ำครึ่งแก้วเอามาใส่เทลงคนให้มันเข้ากันจากนั้นให้ใส่ขุยมะพร้าว1กำมือคนให้มันได้เข้ากัน และนี่ก็คือสำหรับ1กิ่งพันธุ์ที่เราจะต้องตอนจากนั้นคนให้เข้ากันเสร็จแล้วให้นำเอามาใส่ถุงจากนั้น

เราก็ฉีดตรงกลางถุงและก็มัดติดกับกิ่งที่เราต้องการจะตอนได้เลย เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว รอดูอีกประมาณ15วันค่อยมาดูกิ่งที่เรานั้นได้ตอนเอาไว้ การทำเกษตรทำไมมันถึงได้ทำง่ายจัง ซึ่งมันก็คือเราไม่ต้องไปทำอะไรให้มันลำบากมากนักถ้าหากว่าเรานั้นได้ทำงานโรงงาน8โมงเช้าเลิก5โมงเย็น และถ้าหากว่าเราได้มาทำเกษตรเริ่ม8โมงเช้าเลิก5โมงเย็น

เหมือนเดิมมันก็จะยังอยู่เหมือนเดิมเราจะไม่มีโอกาสได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขแต่ก่อนที่เราจะมาทำการเกษตรนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเหมือนกัน ซึ่งแต่ก่อนเป็นพนักงานโรงานคลังสินค้าก็ถือว่ารายได้ดี2คนได้80,000-90,000บาทแล้วแต่ช่วงและถ้าหากมันดีแล้วจะออกมาทำไม ซึ่งมันก็มีอยู่หลายอย่างและก็หลายเรื่องในทั้งหมดทั้งเครียดกับงานและเครียดกับคนเดี๋ยวก็ลูกน้องก็มาบอกว่าคนนั้นไม่ทำงานคนนี้ไม่ทำงานและเขาก็มีเรื่องทะเลาะจนถึงขั้นตีกัน

ส่วนมากในโรงงานเป็นวัยรุ่นมันก็หลายอย่าง ก็เลยปรึกษาเริ่มพูดคุยกับแฟนว่าไม่ไหวแล้วก็เลยพูดกับแฟนว่าจะขอทำงานอีก5ปีพอครบ5ปี4วันไปลาออกเลย ทั้งคุ่ได้มีเงินเก็บจากการทำงานสองคนประมาณ9แสนบาทจากนั้นก็ได้เอามาซื้อที่เพื่อจะลงทุนทำการเกษตร ซึ่งเขาได้ทำการปลูกเพาะพันธุ์ไม้ไผ่กิมซุง และยังมีแปลงมินิฟาร์ม ที่เอาไว้ใช้สอยสำหรับคนที่มีพื้นที่น้อยหากใครมีพื้นที่น้อยก็อาจจะแบ่งออกมาเป็น30ตารางเมตรแต่หากว่าเรานั้นมีพื้นที่น้อยกว่านั้นก็ลดลงมาก็ได้ก็อาจจะเหลือประมาณ10ตารางเมตร สำหรับแปลงผักนี้ัมันมีความพิเศษอยู่อย่างหนึ่ง

คือคนพิการที่นั่งวีลแชร์สามารถเข้าไปปลูกผักได้ นอกจากนี้คนที่จะเข้ามาซื้อเขาก็จะรู้สึกว่าปลอดภัยเพราะมันไม่ติดกับพื้นเวลาที่ฝนนั้นตกลงมามันก็จะไม่ไหลเข้ามาที่แปลงผัก สำหรับแปลงผักนี้อยู่ที่ประมาณ80เซนติเมตรระดับความสูงคนแก่บางคนอาจจะหลังค่อมไปแล้วก็ทำต่ำลงมาอีกหน่อยหรือคนที่ยังไม่แก่หลังยังดีอยู่ก็อาจจะทำสูงขึ้นมาหน่อย

 

ขอบคุณผู้ให้การสนับสนุนโดย  bk8

เมืองน้ำมันที่ได้มีความเก่าแก่มากที่สุดในโลก

เมืองน้ำมันที่ได้มีความเก่าแก่มากที่สุดในโลก

สำหรับOil Rocksได้เป็นเมืองที่ได้มีการขุดเจาะของแหล่งของน้ำมันที่มีการได้รับจัดอันดับว่ามันได้เป็นเมืองที่มีความเก่าแก่มากที่สุดในโลก ซึ่งมันได้ตั้งอยู่ในทะเลแคสเปียนและได้อยู่ในพื้นที่ประเทศของอาเซอร์ไบจาน

โดยได้ออกห่างออกไปจากชายฝั่งประมาณ55กิโลเมตรอีกทั้งมันยังได้ประกอบไปด้วยของเกาะเทียมที่มันได้มีทั้งแท่นที่เอาไว้ สำหรับขุดเจาะน้ำมันมากกว่าประมาณ2,000แท่นและยังได้มีโรงแรมและด้านศูนย์การค้าและด้านคอมแพคด้านอื่นๆที่มันได้มีความเชื่อมต่อเข้าหากันด้วยถนนที่ลอยอยู่ในการทะเลที่มันได้มีความยาวประมาณ300กิโลเมตรที่มันได้ลอยอยู่กลางทะเลนั้น

และ ยังได้ว่ากันว่าในช่วงที่มันฮิตมากที่สุดในช่วงปีประมาณ1960ได้มีคนมาทำงานที่นี่สูงถึงประมาณ5,000คนกันเลยทีเดียว  Oil Rocksนั้นถือได้ว่ามันได้เป็นมรดกที่ได้มีการตกทอดสืบการมาจากสหภาพของโซเวียตหลังจากที่ได้มีการเข้าไปสำรวจผลของน้ำมันที่อยู่ใต้ท้องทะเลแคสเปี้ยนที่มันได้มีระดับความลึกประมาณ1.1กิโลเมตร โดยได้มีการเริ่มโครงการมาตั้งแต่ในปี1945และสามารถที่จะผลิตได้จริงๆเมื่อปี1991 แต่สำหรับอย่างไรก็ตามในทุกๆ

วันนี้หลังจากที่ได้มีความผันผวนของทางด้านเศรษฐกิจและราคาของน้ำมันตั้งแต่ศตวรรษที่70 นั้นได้ว่ากันว่า Oil Rocksนั้นมันไม่ได้อยู่ในสภาพที่มีความอู้ ฟู่เหมือนเดิมอีกต่อไปทั้งถนนที่มันเคยใช้งานได้ประมาณ300กิโลเมตรมันกลับกลายมาเหลือแค่เพียง45กิโลเมตรเท่านั้นอีกทั้งนี้มันก็ยังยากที่จะหาข้อมูลในปัจจุบัน เพราะเนื่องากว่าทางด้านของรัฐบาลนั้นไม่ได้ต้องการที่จะให้เปิดเผยให้มันได้เข้าสู่สถานที่สาธารณะอีกทั้ง ณ ที่เมืองแห่งนี้มันก็ยังได้ถือว่ามันได้เป็นความภาคภูมิใจแห่งชาติที่มันได้มีการตกทอดมาจากของยุคโซเวียต และในทุกวันนี้ทางข้อมูลทางด้านในปัจจุบันของ Oil Rocksนั้น

มันก็ยังยากที่มันจะเอามายืนยันเพราะว่าสถานที่แห่งนี้มันได้ถูกควบคุมโดยจากทางด้านของรัฐบาลที่จะไม่ให้มีการเผยแพร่หรือให่บุคคลที่อยู่ภายนอกนั้นได้เข้ามาหาข้อมูลในด้านต่างๆที่มันได้เกี่ยวข้องกับสถานีแท่นขุดเจาะน้ำมันว่ามันมีความเป็นมาอย่างไรตั้งแต่ในยุคสมัยของโซเวียตที่ได้ทิ้งแท่นคุดเจาะน้ำมันขนาดใหญ่นี้เอาไว้และได้หลงเหลือมายังในปัจจุบันถึงแม้ว่าจะไม่อยู่ในสภาพที่ร้อย%แล้วก็ตามแต่มันก็ยังได้มีการถูกปิดห้ามไปให้นำเอาไปเผยแพร่และมันได้ถูกปิดกั้นของทางสหภาพรัฐที่คอยป้องกันอยู่นั้นเอง

สัตว์ที่อยู่รอดได้โดยที่ไม่ต้องกินน้ำนานถึง8วัน

สัตว์ที่อยู่รอดได้โดยที่ไม่ต้องกินน้ำนานถึง8วัน

เชื่อว่าทุกคนจะต้องเคยเจอกับสภาพอากาศที่เลวร้ายกันมากบ้างแล้วไม่มากก็น้อยและไม่ว่าจะเจอสภาพอากาศที่หนาวจัดจนแทบทนไม่ไหวหรือเจออากาศที่ร้อนจัดของประเทศไทยเป็นประจำเหงื่อไหลเปียกไปทั้งตัวได้แต่บ่นในใจว่าไม่ไหวแล้วนั่นก็เป็นเพราะร่างกายของมนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อให้ทนทานได้ทุกกับสภาพอากาศแต่ก็มีสิ่งทดแทนคือมันสมองที่สามารถสร้างที่พักพิงไว้หลบร้อนครายหนาวได้วันนี้เราจะพามาพบกับสัตว์ที่มันสามารถที่จะเอาตัวรอดได้ในอาณาจักรของสัตว์

Camel

ในดินแดนแห่งความสุดขั่วที่มีอากาศที่ร้อนสุดขั่วและคุณจะต้องแกร่งพอสมควรที่จะเอาตัวรอดในทะเลทรายได้เป็นเวลาหลายพันปีที่ผู้คนจะต้องเดินทางข้ามดินแดนอันแห้งแร้งอย่างอารเบีย

โดยจะใช้สัตว์นั้นเป็นยานพาหนะโดยมีฉายาว่าสำเภาทะเลทรายแต่ในบางคนนั้นไม่ได้เปรียบเทียบพวกมันเอาไว้ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นและบางคนนั้นก็ได้เรียกพวกมันว่าหมาตามใจขณะเดินทาง

แต่ในขณะเดินทางนั้นก็ย่อมจะต้องรู้ดีว่าถึงแม้ว่าอูฐนั้นจะมีรูปร่างที่อัปลักษณ์แต่พวกมันก็ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่แม้แต่ม้าเองก็ยังไม่สามารถที่จะอยู่รอดได้อูฐนั้นมีความสามารถที่ปรับสภาพให้เข้ากับทะเลทรายได้อย่างเก่งมากในที่ที่แห้งแร้งร้อนและอาหารไม่เพียงพอและยังไม่ใช่เพียงแค่นั้นมันยังมีความสามารถที่จะเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งพวกอูฐนั้นสามารถแบกน้ำหนักได้ถึง600ปอนด์เป็นเวลา10ชั่วโมง

ต่อวันโดยที่พวกอูฐนั้นไม่ต้องกินน้ำหรืออาหารอะไรเลยและพวกมันนั้นก็ยังมีเปลือกตาสองชั้นที่ได้ช่วยในการมองเห็นจึงทำให้พวกมันนั้นสามารถที่จะเดินข้ามทะเลทรายได้โดยที่มันนั้นหลับตาอยู่ดังนั้นอูฐจึงกลายเป็นพระเอกที่โด่งดังที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับในการเดินข้ามทะเลทรายแต่ที่ได้มีความผิดไปจากส่วนใหญ่นั้นก็คือโหนกของพวกมันนั้นไม่ได้ใช้

เอาไว้สำหรับกักเก็บน้ำแต่ที่จริงแล้วโหนกของมันนั้นจึงเต็มไปด้วยไขมันที่พวกมันนั้นได้เก็บเอาไว้ใช้เป็นพลังงานสำรองได้ยามที่พวกมันนั้นจะต้องเผชิญไปกับความลำบากที่จะต้องอยู่ท่ามกลางของทะเลทรายและไม่เพียงแค่อูฐเท่านั้นที่จะสามารถกักเก็บน้ำเอาไว้ได้ดีกว่าตัวเราเท่านั้นแต่มันนั้นยังมีชีวิตที่อยู่รอดได้ถึงแม้ว่ามันนั้นจะสูญเสียน้ำหนักไปมากกว่า25%

และมันยังอยู่รอดได้โดยที่พวกมันนั้นไม่ต้องไปกินน้ำนานถึง8วันกันเลยทีเดียวและอูฐนั้นยังเป็นสัตว์ที่ได้มีความแข็งแกร่งไปกว่าสัตว์อื่นๆอีกด้วยและถ้าจะให้ม้าลองมาอยู่ในทะเลทรายก็คงจะไปรอดอย่างแน่นอน

การสร้างกระแสในชาตินิยมของซัดดัม ฮุสเซน

การสร้างกระแสในชาตินิยมของซัดดัม ฮุสเซน

ซัดดัม ฮุสเซน เขาได้พัฒนาประเทศอย่างก้าวกระโดดจนทำให้เขานั้นได้รับรางวัลจากยูเนสโก้ขององค์การสหประชาชาติถึงแม้ว่าซัดดัม ฮุสเซนจะนับถือศาสนาอิสลามนิกายซุนนีแต่เขาก้ได้ทุ่มเทพัฒนาเงินทองและทรัพยากรต่างๆมากมายในการพัฒนามัสยิดและสถานที่ที่เอาไว้ใช้ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาของชาวมุสลิมนิกายชีอะห์

ซึ่งได้เป็นอีกนิกายหนึ่งโดยไม่แบ่งแยกหรือวว่ากีดขวางสิทธิ์เสรีภาพในการนับถือศาสนานิกายดังกล่าวถึงแม้ว่าในขณะนั้นอิหร่านประเทศเพื่อนบ้านของอิรักกำลังมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองด้วยรัฐบาลของพระเจ้าชาหรือโมฮัมหมัด เรชา ปาห์ลาวีได้ถูกผู้นำทางศาสนานิกายชีอะห์ที่ไดรู้จักกันดีได้ทำการโค้นล้มและสถาปนารัสที่ปกครองด้วยหลักกฏหมายบริสุทธิ์

ซึ่งทางซัดดัม ฮุสเซนก็ได้มีความกังวนว่าแนวความคิดในการสถาปนารัสอิสลามบริสุทธิ์ของโคมมีนี่นั้นก็จะเข้ามายังที่ประเทศอิรักและก็ทำให้อำนาจของเขาถูกสั่นคลอนไปด้วยในที่สุดเมื่อซัดดัม ฮุสเซนได้ก้าวขึ้นสู่ประธานาธิบดีของประเทศอิรักในปี1979เขาก็ได้เร่งสร้างกระแสชาตินิยมในหมุ่ประชาชนในหมู่ชาวอิรักวิธีการของเขาก็คือการอ้างไปถึงในความยิ่งใหญ่อาณาจักรเมโสโปเตเมียในอดีตได้มีการกล่าวถึงพระเจ้าเนบูคัดเนสซาร์ที่ยิ่งใหญ่

แห่งอาณาจักรอาณาจักรบาบิโลนและพระเจ้าฮัมมูราบีซึ่งแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของอิรักในอดีตการรวมทั้งยังพยายามเชื่อมโยงของตัวซัดดัม ฮุสเซนว่าเปรียบเสมือนบุตรพระเจ้าเนบูคัดเนสซาร์การสร้างกระแสชาตินิยมในประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่เกรียนไก่ในอดีตนั้นส่งผลให้ชาวอิรักมีความรักชาติมีความภาคภูมิใจในชาติและนำไปสู่ความปึกแผ่น

แต่ในขณะเดียวกันกล่าวกันว่าการสร้างกระแสชาตินิยมในครั้งนี้ส่งผลลบในบางด้านเช่นส่งผลให้ประชาชนบางส่วนกลายมาเป็นผู้คั่งชาติดูถูกชาติที่เป็นศัตรูหรือชาติที่ด้อยกว่าการที่ด้านซัดดัม ฮุสเซนได้ก้าวขึ้นดำรงค์ตำแหน่งประธานาธิบดีนั้นเขาได้ทำทุกอย่างเพื่อประชาชนทั่วประเทศชาติเวลาที่เขานั้นได้เดินทางไปพบปะประชาชนซัดดัม ฮุสเซนจะนำเอาเงินสดไปด้วยเป็นจำนวนมาก

เพื่อแจกจ่ายให้กับประชาชนที่ออกมาต้อนรับมีการสร้างสถานสงเคราะห์ขึ้นมามากมายทั่วประเทศรวมทั้งได้มีการกำเนิดให้ชาวอิรักทุกคนที่มีอายุต่ากว่า45ปีจะต้องรู้หนังสืออ่านออกเขียนได้หากใครที่ไม่ปฏิบัติตสมนั้นก็จะถูกลงโทษเพราะว่านี่ซัดดัม ฮุสเซนได้มองว่าหนังสือนั้นได้เป็นสิ่งที่สำคัญในการพัฒนาประเทศ

สำหรับในความทุ่มเทอย่างตั้งใจจริงนี้ได้ส่งผลให้คะแนนนิยมในตัวของซัดดัม ฮุสเซนได้พุ่งสูงขึ้นเป็นอย่างมากประชาชนชาวอิรักต่างก็ได้ประดับประดาบนกำแพงไปด้วยรูปภาพของซัดดัม ฮุสเซนเอาไว้เต็มฝาผนังบ้านในสถานที่ต่างๆและตามท้องถนนทั่วไป

 

ขอบคุณสำหรับการสนับสนุนโดย  bk8

จากกรณีที่มีผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าเสียชีวิต

จากกรณีที่มีผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าเสียชีวิต

สัปเหร่อโหลดตั้งแต่เผาศพเหยื่อติดเชื้อไวรัสโคโรน่าครอบครัวมีแต่คนรังเกียจ

       จากกรณีที่มีผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าเสียชีวิตและทางวัดได้มีการรับศพไปบำเพ็ญกุศลและดำเนินการเผาศพให้โดยมีสัปเหร่อประจำวัดเป็นผู้ดำเนินการเผาให้นั้น   ทางด้านสัปเหร่อที่เป็นผู้เผาศพให้กับครอบครัวของผู้ติดเชื้อได้ออกมาขอความเห็นใจผ่านทางผู้สื่อข่าวเนื่องจากหลังจากที่มีการเผาศพผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าไปครอบครัวของสัปเหร่อได้รับความเดือดร้อนเป็นจำนวนมาก

เพราะเมื่อมีคนรู้เรื่องว่าสัปเหร่อเป็นคนเผาศพผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าต่างก็พากันรังเกียจตัวสัปเหร่อเองเพราะว่าเกรงว่าจะมีเชื้อไวรัสโคโรน่าที่ติดมากับตัวสัปเหร่อรวมถึงเมียของสัปเหร่อก็ถูกรังเกียจเช่นเดียวกันซึ่งล่าสุดเมียของสัปเหร่อถูกสั่งให้พักงานเป็นเวลานานถึง 14 วันด้วยกันเพียงเพราะว่าสามีไปเผาศพคนที่ติดเชื้อไวรัสโคโรน่า

จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ที่นายเอกสิทธิ์ชายวัย 70 ปีเจ็บป่วยเสียชีวิตด้วยอาการติดเชื้อไวรัสโคโรน่าแล้วญาติไม่สามารถที่จะหาที่เผาศพให้ได้จนล่าสุดมีวัดแห่งหนึ่ง  อยู่เขตมีนบุรีทำการจัดงานศพให้นายเอกสิทธิ์ไปเมื่อวันที่ 25 เดือนมีนาคมแต่หลังจากที่มีการจัดงานศพให้เรียบร้อยแล้วนั้นผลปรากฏว่าทางสัปเหร่อเองกับพบปัญหา

เนื่องจากชาวบ้านรังเกียจที่สัปเหร่อไปทำการเผาศพให้กับคนติดเชื้อไวรัสโคโรน่าช่วยผลกระทบนี้ไม่ได้โดนที่สัปเหร่อคนเดียวแต่คนในครอบครัวของสัปเหร่อคนนี้โดนหมดไม่ว่าจะเป็นลูกหรือแม้แต่ภรรยาโดยมีภรรยาของสัปเหร่อเป็นลูกจ้างรายวันเท่านั้นหลังจากที่ ทำงานของภรรยาสัปเหร่อรู้เรื่องเข้าว่าสามีของเธอไปทำการเผาศพให้กับผู้ที่มีอาการติดเชื้อไวรัสโคโรน่ามาทางบริษัทก็สั่งพักงานภรรยาของสัปเหร่อคนนั้นทันทีโดยให้กับตัวเป็นระยะเวลา 14 วัน

ซึ่งทางสัปเหร่อเองก็เป็นกังวลใจว่าช่วงที่มีการกักตัวนั้นภรรยาจะไม่ได้รับเงินเดือน แผนที่บริษัทก็ยังบอกให้ไปตรวจการติดเชื้อไวรัสโคโรนาโดยต้องมีเอกสารจากทางโรงพยาบาลไปเป็นหลักฐานยืนยันด้วยซึ่งปัญหาตรงนี้สร้างความเสียหายให้กับสัปเหร่อเป็นอย่างมากเพราะมันต้องมีค่าใช้จ่ายหลายพันบาทโดยตัวสัปเหร่อเองกับภรรยาก็ไม่ได้เป็นคนที่มีเงินมากนัก

    ผลกระทบนี้ตั้งสัปเหร่อยืนยันอ่านหนังสือว่าคุณหมอที่โรงพยาบาลออกมายืนยันให้แล้วว่าผู้ที่ตายไปแล้วเชื้อไวรัสโคโรน่าก็จะตายตามผู้ที่ติดเชื้อดังนั้นไม่ต้องกลัวว่าจะมีการแพร่เชื้อเพราะทุกอย่างหลังจากที่มีการทำเสร็จไม่ว่าจะเป็นการเผาศพตัวสัปเหร่อเองก็มีการฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อรวมถึงสถานที่ต่างๆภายในวัดที่มีการนำศพไปตั้งไว้ก็มีการฉีดยาฆ่าเชื้อทั้งหมด

ดังนั้นไม่มีใครติดเชื้อไวรัสโคโรน่าอาการเผาศพแน่นอนโดยทางสัปเหร่อยังฝากมาบอกอีกด้วยว่าให้นึกถึงคนที่ตายไปแล้วบ้างว่าเขาก็ตายไปแล้วถ้าไม่มีใครทำการเผาศพให้กับเขาแล้วศพของเขาจะไปเผาที่ไหนให้นึกถึงใจเขาใจเรา 

ปิดหมู่บ้านโป่งเจริญเพื่อควบคุมเชื้อไวรัส

ปิดหมู่บ้านโป่งเจริญเพื่อควบคุมเชื้อไวรัส

ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ทางด้านของท่านผู้ว่ามีการสั่งให้ควบคุมพื้นที่ของหมู่บ้านโป่งเจริญ 12 โดยทางผู้ว่าการมีการสั่งให้ปิดหมู่บ้านเป็นระยะเวลา 14 วัน ฝนตั้งแต่เมื่อวันที่ 21 เดือนมีนาคมและจะไปจบวันที่ 12 เมษายน เหตุการณ์ในครั้งนี้เกิดขึ้นรวดเร็วอย่างมากและประชาชนในหมู่บ้านพากันตกใจเป็นอย่างมากเพราะว่าคำสั่งนี้เป็นคำสั่งแบบเร่งด่วนที่ไม่ได้มีการเตรียมการล่วงหน้าไว้เลยสำหรับหมู่บ้านดังกล่าวนี้จะแตกต่างจากกรุงเทพฯที่คนกรุงเทพฯยังสามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้

แต่สำหรับหมู่บ้านตกลงเจริญนี้จะไม่สามารถเดินทางออกนอกหมู่บ้านหรือเข้าไปในเขตหมู่บ้านได้อีกเลย สำหรับหมู่บ้านโป่งเจริญนี้มีประชากรในพื้นที่รวมทั้งสิ้น 1900 คน ซึ่งทางผู้ว่าได้มีการแบ่งโซนในการปิดพื้นที่ มีแบ่งออกเป็นโซน A B C ที่ถูกปิดไม่ให้ออกมาก็คือโซนชั้นในสุดซึ่งเป็นโซน A บ้านในครั้งนี้ชาวบ้านไม่ได้รับความเดือดร้อนแต่อย่างใด

เนื่องจากทางผู้ว่าได้มีการสั่งการเอาไว้แล้วว่าให้ดูแลชาวบ้านเป็นอย่างดีด้วยการเตรียมอาหารไว้ให้พร้อมให้ประชาชนได้มีกินทั้งหมด 3 มื้อด้วยกันโดยจะมีเจ้าหน้าที่นำมาแจกจ่ายให้ในช่วงเช้ากลางวันและเย็นซึ่งหากใครต้องการมากก็สามารถขอเพิ่มได้ ซึ่งจากการสอบถามทางผู้ว่าเหตุใดจึงเร่งไม่มีการประกาศออกมาก่อนว่าจะมีการปิดหมู่บ้านทางผู้ให้เหตุผลว่าหากมีการประกาศออกมาก่อนชาวบ้านในหมู่บ้านก็จะพากันอพยพออกจากหมู่บ้านกันหมด

ซึ่งทำให้ไม่สามารถกับตัวผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าและนำมารักษาตัวได้ดังนั้นการปิดหมู่บ้านแบบทันทีโดยไม่ให้ชาวบ้านรู้ตัวมาก่อนนั้นจะทำให้ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสโคโรน่ายังคงอยู่ในหมู่บ้านและทางผู้ว่าก็ได้พาทีมแพทย์ลงพื้นที่เข้าไปทำการตรวจชาวบ้านในหมู่บ้านและกันผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสกรุณาออกมาเพื่อทำการรักษา

ซึ่งถ้าทำแบบนี้จะทำให้รู้ว่าชาวบ้านคนไหนบ้างที่ป่วยและคนไหนบ้างที่ปลอดจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาซึ่งจะทำให้โซน a ซึ่งมีผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัสโคโรน่าจำนวน 3 คนกลายเป็นโซนที่ไม่มีการแพร่เชื้อในทันทีได้เลยเนื่องจากว่าทางผู้ว่าการก็จะนำตัวผู้ป่วยและบุคคลที่มีความเสี่ยงออกมาทำการรักษาซึ่งชาวบ้านเมื่อทราบเหตุผลต่างก็ไม่มีใครที่จะคัดค้านการกระทำของทางผู้ว่าดังกล่าว

และเมื่อมีการเคลียร์จำนวนผู้ติดเชื้อได้เรียบร้อยแล้วทางผู้เองก็ได้มีการประกาศยกเลิกการปิดหมู่บ้านของหมู่บ้านโปร่งเจริญเรียบร้อยแล้วโดยชาวบ้านต่างก็พากันดีใจเป็นอย่างมากที่จะสามารถเดินทางเข้าออกหมู่บ้านกันได้ตามปกติ

จับชายป่วยจิต ที่มาป้ายน้ำลายได้เรียบร้อยแล้ว

จับชายป่วยจิต ที่มาป้ายน้ำลายได้เรียบร้อยแล้ว

จับชายป่วยจิต ที่มาป้ายน้ำลายภายในสถานีรถไฟฟ้า BTS ได้เรียบร้อยแล้ว

         เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 20 เดือนมีนาคมปี 2020 วิธีรักษาความปลอดภัยของสถานีรถไฟฟ้า BTS สถานีหนึ่งได้มีการนำคลิปวีดีโอไปแจ้งความที่สถานีตำรวจให้ติดตามตัวชายผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นตัวกลางในการเผยแพร่เชื้อไวรัสโคโรน่าเนื่องจากว่ามีการจับภาพได้จากกล้องวงจรปิดผู้ชายคนดังกล่าวได้เดินเข้าไปในลิฟท์ของสถานีรถไฟฟ้า BTS สาขาสนามกีฬาแห่งชาติ

หลังจากนั้นชายคนดังกล่าวได้มีการบ้วนน้ำลายและนำไปป้ายตามผนังลิฟต์ หรือตามมุมต่างๆภายในลิฟท์และเมื่อทางเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในยามที่จะเข้าไปพูดคุยด้วยใช้คนเก่าก็ได้วิ่งหนีหายไป ภายหลังจากที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งความและตรวจสอบคลิปวีดีโอก็พบว่ากล้องวงจรปิดได้จับภาพหน้าตาใช้คนร้ายได้อย่างชัดเจน

จึงได้ประสานงานติดตามหาตัวคนร้ายมาดำเนินคดีซึ่งในวันนี้เองทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการประสานงานแจ้งกับพนักงานรักษาความปลอดภัยของสถานีรถไฟฟ้า BTS และว่าเจอตัวชายเสื้อดำที่ก่อเหตุที่สถานีรถไฟฟ้า BTS สาขาสนามกีฬาแห่งชาติได้แล้วด้วยจากการสอบสวนเบื้องต้นพบว่าชายคนดังกล่าวให้การปฏิเสธเกี่ยวกับการเข้าไปแพร่เชื้อไวรัสโคโรน่าตามที่ทางเจ้าหน้าที่สถานีรถไฟฟ้า BTS กล่าวหาโดยต้องให้เหตุผลการกระทำที่ได้ทำภายในลิฟต์นั้น

ว่าเนื่องจากว่ามือของเขาเพื่อนเขาจึงต้องการหาที่เช็ดมือซึ่งไม่รู้จะเช็ดที่ไหนจึงได้เอามือเช็ดไปตามกำแพงของผนังภายในลิฟท์ของรถไฟฟ้าแต่ไม่ได้มีเจตนาที่จะมีการสร้างความเสื่อมเสียให้กับสถานีรถไฟฟ้าหรือว่าตนเองก็ไม่ได้ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าแต่อย่างใดซึ่งในเบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังทำการส่งชายคนดังกล่าวไปทำการตรวจสอบที่โรงพยาบาล

เพื่อเช็คว่าใช้ดังกล่าวมีอาการทางจิตหรือไม่เนื่องจากตรวจสอบหลักฐานที่ตัวเบื้องต้นแล้วไม่พบหลักฐานของบัตรผู้ป่วยโรคจิตแต่หากพบว่าชายที่เกิดเหตุมีอาการป่วยทางจิตจริงก็จะส่งตัวไปรักษาต่อไปแต่ถ้าหากว่าทางคุณหมอยืนยันออกมาแล้วว่าใส่เสื้อดำที่ก่อปัญหาที่สถานีรถไฟฟ้า BTS ไม่ได้มีอาการทางจิตก็จะมีการดำเนินคดีในข้อหาสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นแล้วก็สร้างความสกปรกและความเสียหายให้กับสถานีรถไฟฟ้า BTS

       จากกรณีนี้จะเห็นได้ว่าประชาชนส่วนใหญ่เริ่มเจอสติแตกเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าและแสดงพฤติกรรมออกมาได้น่ารังเกียจซึ่งหากตรวจสอบออกมาแล้วจะมีการติดเชื้อไวรัสโคโรน่าจริงแสดงว่าสิ่งที่เขาทำเป็นการตั้งใจที่จะแพร่เชื้อโรคให้กับคนอื่นไปติดตามเขาด้วยซึ่งถือว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำที่เห็นแก่ตัวเป็นอย่างมากและชายคนนั้นก็ควรจะได้รับการลงโทษตามกฎหมายอย่างรุนแรงเพื่อไม่ให้คนอื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่างอีกต่อไป

อย่างฮาเมื่อรัฐมนตรีให้พระสวดมนต์ไล่ไวรัสโควิด -19 

อย่างฮาเมื่อรัฐมนตรีให้พระสวดมนต์ไล่ไวรัสโควิด -19 

 ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าเรามาถึงยุคที่บทสวดมนต์สามารถช่วยขับได้เชื้อไวรัสออกจากประเทศได้แล้วโดยเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อมีรัฐมนตรีท่านหนึ่งคือนายเทวัญได้ออกมาแถลงการณ์ประกาศว่าในช่วงตอนเย็นจะมีการนิมนต์พระหลายร้อยรูปเพื่อทำการสวดมนต์สำหรับขับไล่เชื้อไวรัสโควิด -19 โดยจะมีการตรวจทุกเย็นซึ่งทางรัฐมนตรีเทวัญแจ้งว่าบทสวดที่พระสงฆ์จะนำมาสวดนี้จะเป็นบทสวดรัตนสูตรโดยรัฐมนตรีแจ้งว่าได้มีการปรึกษาหารือกับนายกรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชาเรียบร้อยแล้ว

ซึ่งนายกรัฐมนตรีก็เห็นดีเห็นงามกับความคิดนี้ด้วยโดยยังบอกอีกว่าการที่ให้พระสงฆ์สวดบทรัตนสูตรนั้นมีกันมาตั้งแต่โบราณแล้วเป็นการสวดขับไล่สิ่งที่ไม่ดีซึ่งถือว่าการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด -19 ก็คือสิ่งไม่ดีเช่นเดียวกันดังนั้นการใช้พระสงฆ์มาทำการสวดบทสวดรัตนสูตรสามารถช่วยให้ประชาชนมั่นใจว่าประเทศไทยจะผ่านพ้นวิกฤตปัญหาการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสครั้งนี้ไปได้แต่อย่างไรก็ตามรัฐมนตรีเทวัญได้ออกมาประกาศผ่านทางสื่อมวลชนว่าจะให้ประชาชนเปิดฟังบทสวดรัตนสูตรนี้จากที่บ้านเท่านั้นไม่จำเป็นต้องมาร่วมสวดมนต์ด้วยกันที่วัดเพราะจะเป็นการเปิดโอกาสให้เชื้อไวรัสสามารถแพร่กันได้

เนื่องจากว่าถ้ามีการรวมกันหลายคนอาจจะมีการติดเชื้อโรคจากกันได้แล้วเมื่อไหร่คนได้เห็นข่าวนี้ออกมาต่างก็มาแสดงความคิดเห็นกันเป็นจำนวนมากถึงความคิดของรัฐมนตรีท่านนี้โดยต่างก็มองว่าถ้าหากพระสงฆ์สามารถเกิดเชื้อไวรัสโควิด -19 ได้แล้วรัฐบาลไทยจะมีกระทรวงสาธารณสุขไว้เพื่อสิ่งใดซึ่งโดยปกติแล้วอ่านข่าวมาในช่วง 1 เดือนนี้จะเห็นว่าไม่ว่าจะเป็นประเทศเกาหลีหรือประเทศอื่นๆบางประเทศที่มีความเชื่อความศรัทธาในแบบแปลกๆแบบนี้ในการแก้ไขปัญหาไวรัสแต่ไม่คิดว่าประเทศไทย

ก็จะมาพบจุดจบเช่นเดียวกันแบบนี้เกี่ยวกับเรื่องของความงมงายซึ่งคนที่เป็นนายกรัฐมนตรีรวมถึงคนที่เป็นรัฐมนตรีร่วมในรัฐบาลนี้ไม่น่าจะมีแนวความคิดแบบนี้ขึ้นมาทำให้เราสามารถมองเห็นได้ว่าระดับมันสมองของรัฐบาลชุดนี้เป็นแบบไหนและเราสามารถที่จะพึ่งพารัฐบาลชุดนี้ได้มากน้อยแค่ไหน หากว่าบทสวดรัตนสูตรสามารถที่จะขับไล่เชื้อไวรัสออกไปได้ในอนาคตเราควรจะยุบกระทรวงสาธารณสุขไปเพราะเป็นการใช้งบประมาณแผ่นดินอย่างสูญเปล่า

เนื่องจากว่าแค่เพียงขับไล่เชื้อไวรัสด้วยการสวดมนต์รักษาโรคด้วยการสวดมนต์เราก็หายจากการติดเชื้อไวรัสพวกนี้แล้วจึงไม่จำเป็นที่จะต้องมีกระทรวงสาธารณสุขเอาไว้เพื่อผลาญงบประมาณแผ่นดิน จากการที่หลายคนได้ออกมาแสดงความคิดเห็นถึงความโง่เขลาเบาปัญญาของรัฐบาลชุดนี้คงต้องรอดูกันว่านายเทวัญยังจะมีการรวบรวมพระสงฆ์เพื่อมานำบทสวดมนต์ขับไล่เชื้อไวรัสนี้อยู่หรือไม่ 

Theme: Overlay by Kaira Extra Text
Cape Town, South Africa